หนัง I AM LEGEND (2007)

“I am Legend” …หรือในชื่อภาษาไทยที่ตรงตัว(แต่พ่วงท้ายมาทำติ่งไรหว่า) “ข้าคือตำนาน(พิฆาตมหากาฬ)” ว่าด้วยเรื่องราวของ “โรเบิร์ต เนวิลล์” ผู้(ที่เนื้อเรื่องหนังเขาว่า)เป็นมนุษย์คนสุดท้ายในมหานครนิวยอร์ค ในเวลาหลังสิ้นโลกทั้งใบไปให้กับเชื้อมรณะที่เคยเป็นความหวังของมนุษยชาติ

เชื้อมรณะที่ว่านี้ เป็นเชื้อที่ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อทำการรักษาโรคมะเร็งที่เป็นแล้วต้องตายให้หายขาด แต่เมื่อได้ลองนำมาใช้ในการทดลองกับมนุษย์แล้ว ผลที่ได้ออกมากลับกลายเป็นศูนย์แถมยังร้ายแรงกว่านั้นที่ไวรัสเกิดการแพร่เชื้อส่งไปยังผู้คนอีกรอบข้าง ลามไปเรื่อยทั่วทั้งโลก จนไม่สามารถหยุดยั้งได้ทัน …มิเช่นนั้น การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุจึงเป็นสิ่งที่ทำได้ดีที่สุด และต้นเหตุในที่นี้ ก็คือ เมืองนิวยอร์ค ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการทดลองมรณะ

แต่แล้วมันก็สายเกินแก้ เมื่อการปิดเกาะแมนฮัตตันไม่ช่วยอะไร …ผลลัพธ์ในอีก 3 ปีต่อมา จึงเหลือเพียงแค่เศษซากของตึกรามบ้านช่องใหญ่โต ที่ถูกทิ้งอย่างอ้างว้าง กลายเป็นสนามเด็กเล่นอันกว้างขว้างแต่รกร้างของ พันโท โรเบิร์ต ยอดนายทหาร ผู้เป็นมนุษย์คนสุดท้ายแห่งนิวยอร์คคนนี้

ถึงอย่างไรก็ตาม โรเบิร์ตก็ไม่ยอมปล่อยให้สนามเด็กเล่นแห่งนี้ ต้องรกร้างไปตลอดกาล… เขาใช้ความรู้อันเก่งกาจในด้านวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ พยายามต่อสู้กับเชื้อร้ายนี้ ด้วยการผลิตเซรุ่มที่จะใช้เปลี่ยนสภาพคนที่กลายพันธุ์ (เรียกว่า “ดาร์กซีกเกอร์”) ให้กลับมาเป็นคนที่เรียกว่ามนุษย์ได้เช่นเดิม

หากแต่ก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากสำหรับการจะหา ดาร์กซีกเกอร์ สักตัวมาสังเวยยาของเขา …เนื่องด้วยการใช้ชีวิตอย่างหนีหาย ในตอนกลางวัน ออกหากินในตอนกลางคืนของมัน ต้องสวนทางกับโรเบิร์ต ที่เวลากลางวันพยายามออกตามล่า แต่พอตกกลางคืนก็ถึงคราวหลบซ่อนอยู่ในบ้านที่แสงไฟไม่มีทางได้เล็ดลอดกับสุนัขคู่ใจหนึ่งตัว ที่คอยเป็นเพื่อนแก้เหงาให้ชีวิตที่ไม่มีใคร(เป็นคน)ของโรเบิร์ต

ความคิดแต่แรกเริ่มรู้เรื่อง ที่ทำให้ผมอยากดู I am Legend มากที่สุด ก็คือ… หนังจะพยายามหาทางจบฉากสุดท้ายได้อย่างไร เพื่อให้ทางออกของเรื่องราวดูดีที่สุด …เพราะเท่าที่คิดๆดู มันก็ควรจะมีอยู่สองทาง ระหว่าง Happy กับ Saddy ซึ่งถ้าหนังเลือกทางแรก ก็ต้องดูว่ามันจะมักง่ายหรือเปล่า ในขณะอีกทาง ก็มองว่ามันจะทำให้รันทดได้ซะขนาดไหนเลยเชียว

ถ้าหนังต้องเลือกสักทาง ก็อยากรู้ว่ามันจะคิดหาจุดจบให้ โรเบิร์ต เนวิลล์ กลายเป็นตำนาน สมชื่อหนังได้หรือไม่… อันนี้ คือ สิ่งที่ต้องการที่สุดที่ผมอยากจะได้รู้

“I am Legend” …ผลงานการกำกับเรื่องถัดมาของ “ฟรานซิส ลอว์เรนซ์” จาก “Constantine” …หนังล่าปีศาจ ของ คีอานู รีฟส์ ที่เหมือนจะสนุก แต่ก็ไม่รู้สึกว่าจะมันส์ในอารมณ์อย่างใดๆ (แถมยังแถกสีข้างหาจุดจบได้เห่ยซะ)

การกำกับในหนที่สองของ ลอว์เรนซ์ มีพัฒนาการที่ดียิ่งขึ้นกว่าเรื่องก่อน …ถ้าจะมองในแง่ของการใช้ภาพเล่าเรื่อง เอาการแสดงของดาราเป็นที่ตั้งของความสนุก ลอว์เรนซ์ก็สามารถควบคุมในหน้าที่ของเขาได้ดี …แล้วกับรายละเอียดปลีกย่อยทางอารมณ์ความรู้สึกในหลายๆฉาก ก็ถูกสื่อสารออกมาได้อย่างลึกซึ้ง ตัวอย่างเช่นในฉาก ครอบครัวสิงโต ก็นำภาพสะท้อนกลับไปยัง ตัวโรเบิร์ตที่เคยมีครอบครัวแต่ต้องสูญเสียไปให้กับหน้าที่การงานที่สำคัญกว่าคนที่เขารัก

ไม่ใช่แค่การสร้างความลึกและซึ้งต่อเรื่องราวเท่านั้น …การถ่ายทำ ใช้มุมกล้อง และตัดต่อ ก็เสริมให้ตัวหนังมีฉากระทึกขวัญ ที่สร้างความกดดัน รู้สึกอันตรายไม่น่าไว้วางใจ พาลทำให้คนดูต้องลุ้นตื่นเต้นไปกับการกระทำ กระทั่งพฤติกรรมของ โรเบิร์ต ที่มีเบื้องหน้าอันเคลือบไปด้วยความแข็งแกร่งแบบทหาร แต่เนื้อในก็เต็มไปด้วยความอ่อนไหว ขยาดกลัว เช่นมนุษย์ทั่วไป

แล้วเมื่อเรื่องราวความสนุก ถูกรวมเข้ากับงานโปรดักชั่นก็ทำได้ถึง ก็ยิ่งหนุนนำให้การสื่อสารของหนังมีความขลัง ทรงพลัง ช่วยเสริมอารมณ์ให้อยากจะอินไปตามองค์ประกอบที่หนังพาไป …สิ่งแรกที่หนังพาเราไปถึง ก็คือ ‘เมืองนิวยอร์ค’ อันรกร้าง ที่ให้ความรู้สึกหลอน หลอกความเป็นจริงในปัจจุบันได้อย่างแนบเนียน …ถึงผมอาจจะเคยเห็นภาพแบบนี้กับเมืองลอนดอน ใน 28 Days/Weeks Later มาแล้ว แต่ผมก็ยังไม่รู้สึกว่าความพยายามของมันจะซ้ำซาก แถมสเกลงานที่มีความใหญ่กว่า ก็ยิ่งทำให้ตัวหนังได้เล่นหลอนกับสิ่งของสาธารณูปโภครอบตัวได้มากกว่าไปด้วย

อย่างที่สอง ที่เป็นตัวแปรผันของความสนุกน่าติดตาม ก็คือ พลังการแสดงของ “วิล สมิธ” ที่เล่นได้ถึง และไม่มากล้นเกินไปกับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านในเวลาที่ต้องตื่นเต้น

แม้ตัวหนัง “The Persuit of Happyness” จะยังดีไม่พอต่อความประทับใจซาบซึ้งที่ผมจะรู้สึกได้ แต่กับการแสดงของพี่วิล ในเรื่องนั้น ก็ต้องยอมรับว่า ดีที่สุดกว่าทุกเรื่องที่เคยผ่านตา …แล้วมากับในเรื่องล่าสุดนี้ ก็เป็นอีกครั้งที่พี่ท่านได้แสดงศักยภาพความสามารถได้น่าประทับใจ …แม้ว่าคาแรกเตอร์ความเป็นฮีโร่ อาจจะดูเป็นแพทเทิร์นเดิมๆของเขาไปแล้ว แต่ความเป็นตัวละครที่แสดงออกมาในมุมที่อารมณ์นำเหนือลักษณะกายภาพ(อันกำยำบึกบีน) ก็ส่งผลให้แง่ความเป็นหนังดรามาถูกเคลือบแฝงไปกับทุกฉากที่ได้เห็นในหนังไซไฟ-ทริลเลอร์ เรื่องนี้

พี่วิล สามารถแบกหนังทั้งเรื่องให้คนดูต้องจดจ้องกับสิ่งที่เขาเป็น …ผมเห็นใจในชะตากรรมของตัวละคร โรเบิร์ต ที่ถูกสื่อออกมาจากเหตุการณ์องค์ประกอบเรื่องราวตามบท รวมไปกับความรู้สึกที่สื่อออกมาผ่านสายตา สีหน้า และการควบคุมอารมณ์ให้เป็นไปตามฉากเหตุการณ์ที่เขาต้องเจอ …เมื่อบวกไปกับอีกหนึ่งการแสดงที่น่าจดจำของน้องมะหมา นาม “แซม” ตัวประกอบสำคัญ ก็ยิ่งช่วยให้เราซาบซึ้ง(ทั้งน้ำตา) กับความผูกพันของคนกับสัตว์เลี้ยง ในช่วงเวลาอันโดดเดี่ยว อ้างว้างจับหัวใจ

เมื่อเรื่องราวของหนังได้ดำเนินมาถึงฉากสุดท้ายของมนุษย์คน(ที่กลายเป็นยังไม่)สุดท้าย …ซึ่งที่ผมคาดหวังกับ I am Legend ก็สัมฤทธิ์ผล ได้ด้วยความเยี่ยมของ วิล สมิธ และวิธีการหาทางออกของบทหนังที่ดีที่สุดแล้ว ที่ทำให้ โรเบิร์ต เนวิลล์ ได้เป็นตำนาน อย่างที่ชื่อหนังพยายามจะทำให้เราได้รู้ซึ้ง

โดยรวมๆ ของบทหนังอาจจะให้รายละเอียดขององค์ประกอบได้ดีก็จริงอยู่ …แต่ด้วยความเป็นหนังที่หวังทำขายตลาด ก็เลยยังดูจะขาด ละเลยในบางสิ่งที่มีเหตุมีผลไป มีจุดอ่อนในเรื่องราวบางอย่างที่ทำให้หนังไม่ถึงกับน่าเชื่อถือเป็นที่สุด … แถมในฉากสุดท้ายจริงๆ ที่เป็นตอนสรุปเรื่องราว ก็ดูจะราบรื่นเกินไปนิด ให้ความหวังกับเราสวยงามมากไปหน่อย ทั้งๆที่ฉากก่อนหน้าสร้างพลังได้แรงสูง ก็ถูกจูงฉุดให้อารมณ์อินต้องลงมากันดื้อๆ …ถึงจะพอยอมรับได้อยู่ แต่ก็อยากให้สิ่งที่ยอมรับได้จริงๆ คือ แง่มุมสุดท้ายที่จะสะท้อนใจคนให้รู้สึกอะไรได้สุดๆ กับสิ่งที่หนังพยายามบอกเรา

สิ่งที่เรื่องราวของ I am Legend นำเสนอ…พยายามจะบอกให้เราต้องรู้สึก ถึงเรื่องวิวัฒนาการอันล้ำหน้า ที่ยิ่งมากเข้าก็ยิ่งนำพาหายนะมากำนัลแก่ชีวิตผู้คน แม้ต่อให้ดีมากมายสักเท่าไหร่ มันก็ย่อมมีแง่ร้ายแอบแฝงอยู่ในทุกๆสิ่งก็เท่านั้น …อย่าคิดว่าทุกสิ่งจะต้องสวยงามไปเสียหมด และทุกอย่างจะแก้ไขได้ถ้ามันต้องผิดพลาด เพราะถ้าทำอะไรก็ประมาทไป สุดท้ายก็ชิ_หายได้พอกัน

“I am Legend” …ถ้าอยากจะดูหนังสักเรื่อง ที่มีภาพตรึงอารมณ์ การแสดงอันทรงพลัง และบรรยากาศน่าประหวั่นพรั่นพรึง หนังเรื่องนี้ให้คุณได้ เว้นแต่ว่า คุณคาดหวังจะดูหนังแอ๊คชั่นมันส์ๆ เพราะชื่อ วิล สมิธ รับประกัน หรือกระทั่งเป็นคอลาบเลือดที่ปลาบปลื้มความระทึกขวัญเหนือสิ่งอื่นใด …เพราะความเป็นจริงของ ข้าคือตำนาน ก็คือหนังดรามาเนิบนาบ ที่เคลือบความเป็นทริลเลอร์เร้าอารมณ์ไม่กี่ฉากกับเรื่องราวระทึกใจไม่กี่นาที ซึ่งก็ไม่ใช่ด้วยเหตุผลใดนอกเหนือไปจากการได้ชื่อว่าเป็น หนังตลาดมีฟอร์ม อีกเรื่องหนึ่ง ขอแนะนำ